วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

เพลงไทยที่ฉันชอบ "อยู่ต่อเลยได้ไหม"





เพลง อยู่ต่อเลยได้ไหม

ศิลปิน สิงโต นำโชค
อัลบั้ม Sticky Rice




เนื้อเพลง อยู่ต่อเลยได้ไหม

มองไปก็มีแต่ฝนโปรยปราย

ในหัวใจก็มีแต่ความเหน็บหนาว
ท้องฟ้าที่มองไม่เห็นแสงดาว
คืนเหน็บหนาวยิ่งทำให้ใจเราหนาวสั่น

อยากอยู่ดูแลให้เธอฝันดี
แต่ใจก็รู้ดีคงหมดเวลาของฉัน
อยากจะอยู่กับเธอให้นานน๊านนาน
แต่ก็คงต้องลาเพราะใจที่ไหวหวั่น

แต่ใจของฉันบอก อยากอยู่กับเธอต่อ
แต่ฉันวิงวอนกับเธอได้เพียงสายตา

อยู่ต่อเลยได้ไหม
อย่าปล่อยให้ตัวฉันไป เธอก็รู้ทั้งหัวใจ
ฉันอยู่ที่เธอหมดแล้วตอนนี้
อยากได้ยินคำว่ารัก
แทนคำบอกลาเมฆฝนบนฟ้าคงรู้ดี
คืนนี้ให้ฉันได้อยู่ใกล้ๆ เธอ

ก็เพราะว่าคืนนี้
ฉันกลัวว่าฉันจะนอนฝันร้าย
ถ้าฉันต้องกลับไปไม่มีเธอเคียงข้างฉัน
นาฬิกาคงไม่บอกคืนและวัน
โลกของฉันที่ไม่มีเธอคงว่างเปล่า

อยากอยู่ดูแลให้เธอฝันดี
แต่ใจก็รู้ดีคงหมดเวลาของฉัน
อยากจะอยู่กับเธอให้นานน๊านนาน
แต่ก็คงต้องลาเพราะใจที่ไหวหวั่น

แต่ใจของฉันบอก อยากอยู่กับเธอต่อ
แต่ฉันวิงวอนกับเธอได้เพียงสายตา

อยู่ต่อเลยได้ไหม
อย่าปล่อยให้ตัวฉันไป เธอก็รู้ทั้งหัวใจ
ฉันอยู่ที่เธอหมดแล้วตอนนี้
อยากได้ยินคำว่ารัก
แทนคำบอกลาเมฆฝนบนฟ้าคงรู้ดี
คืนนี้ให้ฉันได้อยู่ใกล้ๆ เธอ

อยู่ต่อเลยได้ไหม
อย่าปล่อยให้ตัวฉันไป เธอก็รู้ทั้งหัวใจ
ฉันอยู่ที่เธอหมดแล้วตอนนี้
อยากได้ยินคำว่ารัก
แทนคำบอกลาเมฆฝนบนฟ้าคงรู้ดี
คืนนี้ให้ฉันได้อยู่ใกล้ๆ เธอ

อยู่ต่อเลยได้ไหม
อย่าปล่อยให้ตัวฉันไป เธอก็รู้ทั้งหัวใจ
ฉันอยู่ที่เธอหมดแล้วตอนนี้
อยากได้ยินคำว่ารัก
แทนคำบอกลาเมฆฝนบนฟ้าคงรู้ดี
คืนนี้ให้ฉันได้อยู่ใกล้ๆ เธอ

คืนนี้ให้ฉันได้อยู่กับเธอ
คืนนี้ให้ฉันได้อยู่กับเธอ







...อ้างอิง http://sz4m.com/t9075
             http://www.youtube.com/watch?v=JWzsNZsimmw&list=RDJWzsNZsimmw#t=76


วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557

เอเชียนเกมส์ 2014 

เป็นการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์

 ครั้งที่ 17 จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 19 กันยายน – 4 ตุลาคม


 2014 Asian Games logo.png

พิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2014 สุดอลังการ ดาราศิลปินร่วมโชว์แบบจัดเต็ม ส่ง แด จัง กึม จุดคบเพลิงเปิดอินชอนเกมส์ ด้านทัพนักกีฬาไทยปลื้มปิติ พระองค์หญิง ทรงนำขบวนพาเหรดร่วมพิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2014 


พิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2014 สุดอลังการ แด จัง กึม จุดคบเพลิงเปิดอินชอนเกมส์ (มีคลิป)


  พิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2014 ครั้งที่ 17 ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 19 ก.ย. - 4 ต.ค.57 เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่อินชอน เอเซียค เมนสเตเดี้ยม เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 57 ที่ผานมา โดยมีศิลปินดาราแถวหน้าหน้าของเกาหลีใต้มาร่วมโชว์ในพิธีเปิดอย่างคับคั่ง อาทิ เอ็กโซ (EXO), เจวายเจ (JYJ), ชาง ดอง กัน, คิม ซู ฮยอน, ซีเอ็น บลู (CN Blue) และที่ขาดไม่ได้ก็คือไซ (PSY) เจ้าของเพลงดัง กังนัมสไตล์ ด้านศิลปินไทยที่ได้รับเชิญร่วมพิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2014 ครั้งนี้ก็คือ เจมส์ จิรายุ 

พิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2014 สุดอลังการ แด จัง กึม จุดคบเพลิงเปิดอินชอนเกมส์ (มีคลิป)
          ขณะที่ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่พิธีจุดคบเพลิงใน พิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2014 เกาหลีได้ก็ได้ส่ง ลี ยอง เอ นักแสดงนำจากซีรีย์ชื่อดัง แด จัง กึม เป็นผู้นำคบเพลิงขึ้นไปจุดบนกระถาง
พิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2014 สุดอลังการ แด จัง กึม จุดคบเพลิงเปิดอินชอนเกมส์ (มีคลิป)
          ในส่วนของทัพนักกีฬาไทยใน พิธีเปิดเอเชียนเกมส์ 2014 ได้เดินเข้าสู่สนามเป็นลำดับที่ 39 โดยยึดตามลำดับอักษรภาษาเกาหลี โดยมี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ในฐานะนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย ทรงนำคณะนักกีฬาเข้าสู่สนาม ขณะที่ ตอง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นผู้ถือธงไตรรงค์ 








                       จุดคบเพลิงพิธีเปิดกีฬาอินชอนเกมส์ 2014






PSY



EXO




Only  JYJ



 ประเทศไทยของเราเดินขบวนเข้าสนามลำที่ชาติที่ 39 โดยเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ เจ้าภาพเกาหลีใต้ต้องการสื่อสารภายใต้แนวคิด "เอเซียรวมเป็นหนึ่งเดียว" โดยมี "เจ้าตอง" กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ผู้รักษาประตูจากทีมฟุตบอลชายไทยเป็นผู้นำธงไตรรงค์อย่างงามสง่า และสร้างความภูมิใจแก่ชาวไทย









ภาพประกอบจาก BBCTHAI 



ติดตามข่าวสารได้http://sport.mthai.com/asian-games/

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
เรียบเรียงโดย


ที่มา   http://asiangames.boxza.com/news/12792
          http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1411141750
          http://sport.mthai.com/asian-games/

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

ทำบุญวันพระ


เมื่อวันที่ 16 กันยายที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันพระดิฉันกับพี่ชายและพี่สาวไปทำบุญให้อาหารปลาที่วัดนางสาว  จ.สมุทรสาคร









วัดนางสาว-สมุทรสาคร-มหาชัย-2

















 อิ่มบุญ... อิ่มสุข...มีความสุขมากๆๆๆๆๆๆๆเลย........สาธุ 




วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

ประเพณีบุญข้าวสาก  บุญเดือนสิบ




 บุญเดือนสิบ
 บุญข้าวสาก คำว่า "สาก" ในที่นี้มาจากคำว่า "ฉลาก" ในภาษาไทย ข้าวสากหรือฉลากภัตร บุญข้าวสาก คือ การทำบุญที่ให้พระเณรทั้งวัด จับสลากเพื่อ
จะรับปัจจัยไทยทาน ตลอดจนสำรับกับข้าว ที่ญาติโยมนำมาถวาย
บุญข้าว
สากหรือฉลากภัตรนี้แต่ละท้องถิ่นทำไม่เหมือนกันเช่นในบางท้องถิ่นอาจจะจัดของ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ยาตำราหลวง มาทำเป็นห่อๆ นำไปถวายพระ ก่อนจะทำพิธีถวายก็จะมีการจับฉลากก่อน ทีนี้พอตนเองจับฉลากได้เป็นชื่อของพระ หรือ
เณรรูปใด ก็นำไปถวายตามนั้น ลักษณะเช่นนี้ถือว่าเป็นการเสี่ยงสมภาร (บารมี) ว่าในปีนี้
ดวงชะตาหรือชีวิตของตนจะเป็นเช่นไร มีการทำนายไปตามลักษณะของพระหรือเณร ที่ตนเองจับฉลากได้ เช่น บางคนอาจจะจับได้พระที่เป็นผู้ที่อายุพรรษามากถือว่าเป็นผู้มี
ชีวิตมั่นคง หรือจับฉลากถูกพระเปรียญหรือเณรมหาก็ถือว่าเป็นผู้ที่สติปัญญามาก เป็นต้น

บุญห่อข้าวที่อีสาน พิธีกรรม 
จะมีการทำข้าวสากหรือฉลากภัตรนี้เป็นลักษณะห่อด้วยใบตองกล้วยเอาไม้กลัดหัวกลัดท้าย
มีรูปลักษณ์คล้ายๆ กลีบข้าวต้ม แต่ไม่พับสันตองเหมือนการห่อข้าวต้ม แล้วเย็บติดกัน
เป็นชุดๆ ภายในห่อนั้น บางห่อบรรจุหมาก พลู บุหรี่ ข้าวต้ม ข้าวสาร ปลา เนื้อ เป็นต้น ซึ่งแต่ละห่อนั้นไม่ซ้ำกัน แล้วนำไปแขวนห้อยไว้ตามต้นไม้ หรือรั้วบริเวณวัด ในตอนเช้าดึก
ของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 เสร็จแล้วจะมีการตีโปง กลอง ฆ้อง ระฆัง เป็นสัญญาณ
ป่าวร้องให้เปรต หรือวิญญาน ของญาติผู้ที่ล่วงลับไปมารับเอา
      บางท้องที่ มีพิธีกรรมที่แตกต่างกันแแกไป เช่น เมื่อถึงวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 10 ญาติโยมจะเตรียมอาหาร คาวหวาน และหมากพลู
บุหรี่ พอเข้าวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ญาติโยมจะพากันทำบุญใส่บาตร
พอถึงเวลาประมาณ 9 - 10 โมงเช้า พระสงฆ์จะตีกลองโฮม(รวม) ญาติโยมจะนำอาหาร
ที่เตรียมถวายพระสงฆ์และห่อข้าวน้อยซึ่งมีอาหารคาวหวานอย่างละเล็ก อย่างละน้อย
แต่ละห่อประกอบด้วย
1. ข้าวเหนียว เนื้อปลา เนื้อไก่ หมู และใส่ลงไปอย่างละเล็กอย่างละน้อยถือเป็น
อาหารคาว
2. กล้วย น้อยหน่า ฝรั่ง แตงโม สับปะรด ฟักทอง (แล้วแต่จะเลือกใส่)เป็นอาหารหวาน
หลังจากนำอาหารที่เตรียมห่อเป็นคู่ๆ นำมาผูกกันเป็นพวงแล้วแต่จะใส่กี่ห่อก็ได้ส่วนใหญ่
จะใช้ 10 คู่ เมื่อนำไปเลี้ยง "ผีตาแฮก" ที่นาของตนเองด้วย โดยมีความเชื่อว่าจะทำให้ผี
ตาแฮกพอใจ และช่วยดูแลข้าวกล้าในนาให้งอกงามสมบูรณ์ ตลอดจนช่วยขับไล่ศัตรูข้าว
ได้แก่ นก หนู ปูนา ไม่ให้มาทำลายต้นข้าวในนาอีกส่วนหนึ่ง เมื่อนำอาหารมาถึงศาลาวัด
ที่จะทำบุญแล้ว เขียนชื่อของตนลงในกระดาษ ม้วนลงใส่ในบาตร เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้วผู้ที่จะเป็นหัวหน้ากล่าวนำคำถวายสลากภัต ญาติโยมว่าตาม
จบแล้วนำไปให้พระเณร จับสลากที่อยู่ในบาตร พระเณรจับได้สลากของใคร ผู้เป็นเจ้าของพาข้าว(สำรับกับข้าว)และเครื่องปัจจัยไทยทานก็นำไปประเคนให้พระรูปนั้นๆ
จากนั้นพระเณรจะฉันเพล ให้พรญาติโยมจะพากันรับพรแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
ไปให้ญาติ พี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว พิธีการเช่นนี้เรียกว่าแจกข้าวสาก

     บางท้องที่ หลังจากเรียกวิญญานของผู้ที่ล่วงลับไป หรือผีไร่ ผีนา ให้มารับไปแล้ว จากนั้นเป็นเรื่องของชาวบ้านที่จะเก็บคืนมา ในบางที่มีการแย่งกันเป็นที่สนุกสนาน ซึ่งตอนนี้เรียกว่า "ชิงเปรต" หรือ แย่งข้าวสาก โดยมีความเชื่อท้องถิ่นที่ผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่า
ให้ฟังว่า ผู้ใดแย่งข้าวสากกากเดนเปรตมากิน จะเป็นคนที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ ปราศจากโรค
หรือพยาธิต่างๆ ใบตองที่ห่อข้าวสาก ก็นำเอามาเก็บไว้ตามไร่นาตากล้า (สถานที่เพาะข้าวกล้าก่อนปักดำ) เชื่อว่าจะทำให้ข้าวกล้าในนาอุดมสมบูรณ์ดี บุญข้าวสาก
เป็นช่วงที่กำลังอุดมสมบูรณ์ บริบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร สังเกตุได้จากบทพญา ที่นักปราชญ์อีสานได้กล่าวไว้ว่า...

       “มีแต่สดใสชื่นคืนวันอันแสนม่วน          ต่างก็ชวนพี่น้องโฮมเต้าแต่งทาน
         ขวงเขตย่านบ้านป่านาหวาย                กลายมาถึงเดือนสิบ สิก่นมันมาต้ม
         พ่องกะงมกอข้าวเอาเทากำลังอ่อน     พ่องกะคอนต่าน้อยลงห้วยห่อมนา
         เดือนนี้บ่ได้ช้าพากันแต่งทานถง          ข้าวสากลงไปวัดถวายหมู่สังโฆเจ้า
         มีลาบเทาพร้อมกับหมกดักแด้ของดีขั่วกุดจี่      มีทั้งหมกหมากมี้กะมาพร้อมพร่ำกัน”

   ในการทำบุญข้าวสากนี้ เป็นเรื่องที่คนอีสานใส่ใจมากกว่าบุญข้าวประดับดิน เพราะว่าเป็นเรื่องของความเชื่อที่ว่า ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เป็นวันที่พระยายมภิบาล เปิดขุมนรกให้สัตว์นรกได้มารับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติพี่น้องที่อยู่ในมนุษย์โลก ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ไปจนถึงเที่ยงคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ทีนี้ในเมื่อพวกเปรต หรือสัตว์นรกเหล่านั้นมารับส่วนบุญจากญาติพี่น้องที่อยู่ในมนุษย์โลก พวกที่ได้รับบุญกุศล ที่เกิดจากการทำบุญข้าวสากนี้ ก็จะอวยพรให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข มีความอุดมสมบูรณ์
ด้วยสิ่ง ที่ต้องการและปรารถนา ในทางตรงข้าม ถ้าหากว่ามาแล้วเกิดไม่ได้ส่วนบุญ
อะไรเลย ก็จะน้อยเนื้อต่ำใจว่า ลูกหลานไม่ใส่ใจ ถึงแม้ว่าผู้อื่นไม่ใช่ญาติสายโลหิตจะอุทิศ
แผ่ส่วนบุญไปให้ ก็ได้แต่เลียใบตองห่อข้าวสากเท่านั้น ซึ่งไม่ถึงกับอี่มท้องอะไรเลย ก็ได้สาปลูก แช่งหลานที่ไม่เอาใจใส่ มัวแต่แย่งทรัพย์สมบัติมรดก ที่เขาหามาในขณะยังมี ีชีวิตอยู่ จนกระทั้งลืมผู้มีพระคุณ ในเรื่องนี้ออกจะทำให้น่ากลัวเกรงโทษ ในการทอดทิ้งผู้มี
พระคุณ โดยเฉพาะพ่อแม่ ญาติสายโลหิต ควรได้รับการเอาใจใส่จากลูกหลาน ทั้งในขณะ
ยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่ตายไปแล้วในประเพณีบุญเดือนสิบนี้ บางท้องถิ่นจะจัดให้มีการ
ถวายทาน รักษาศีล เพื่อเป็นอุทิศส่วนกุศล ไปให้ปวงญาติที่ตายไปแล้ว นอกจากนี้ยังจัด
ให้มีการฟังเทศน์ตลอดทั้งวันอีกด้วย โดยเรื่อง ที่นำมาเทศน์ส่วนมากเป็นเรื่องวรรณกรรม
ท้องถิ่น และมีอิทธิพลต่อความเชื่อของท้องถิ่น ในลักษณะของการขัดเกลาจิตใจ และเร่งเร้าให้ทำคุณงามความดีในรูปแบบต่างๆ เช่น เรื่องมโหสถ เรื่องพระเจ้าสิบชาติ เรื่องท้าวกำกาดำเป็นต้น บุญเดือนสิบถือได้ว่าเป็นประเพณีอันดีงามของคนอีสาน ที่ควรเอาใจใส่ประพฤติปฏิบัติกัน.

   “ฮีตหนึ่งนั้น เมื่อเทิงเดือนสิบแล้วทายกทอดบวยบาน      เบิกพลีทำทานต่อมาสองซ้ำ
     ข้าว สลากนำไปให้สังโฆทานทอด                  พากันหวังยอดแก้วนิพพานพุ้นพ้นที่สูง
      ฝูงหมู่ลุงอาว์ป้าคณาเนือง น้อมส่ง                  ศรัทธาลงทอดไว้ทานให้แผ่ไป
      อุทิศให้ฝูงเปรตเปโต                                        พากันโมทนานำสู่คนจนเกลี้ยง”

เดือนสิบ ทำบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก (สลากภัตร) ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบ ผู้ถวาย จะเขียนชื่อของตนลงในภาชนะที่ใส่ของทาน และเขียนชื่อลงในบาตร ภิกษุสามเณรรูปใดจับได้ สลากของใคร ผู้นั้นจะเข้าไปถวายของ เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว มีการฟังเทศน์ เป็นการอุทิศให้แก่ ผู้ตายเช่นเดียวกับบุญข้าวประดับดิน
และบุญนี้จะทำกันในวันเพ็ญเดือนสิบ จึงเรียกชื่ออีกอย่างว่า "บุญเดือนสิบ"

มูลเหตุที่ทำ 
เพื่อจะทำให้ข้าวในนาที่ปักดำไปนั้นงอกงาม และได้ผลบริบูรณ์ และเป็นการอุทิศส่วนกุศล
ถึงญาติผู้ล่วงลับ ไปแล้วความเป็นมาของสลากภัตร ในสมัยหนึ่งพุทธองค์ได้เสด็จไป
กรุงพาราณสี ในคราวนี้นบุรุษเข็ญใจ พาภรรยาประกอบอาชีพตัดฟืนขายเป็นนิตย์เสมอมา
เขาเป็นคนเลื่อมใสพระพุทธศาสนายิ่งนัก วันหนึ่งเขาได้ปรึกษากับภรรยาว่า
"เรายากจนในปัจจุบันนี้เพราะไม่เคยทำบุญ-ให้ทาน รักษาศีลแต่ละบรรพกาลเลย ดังนั้น
จึงควรที่เราจักได้ทำบุญกุศล อันจักเป็นที่พึ่งของตนในสัมปรายภพ-ชาติหน้า"
ภรรยาได้ฟังดังนี้แล้ว ก็พลอยเห็นดีด้วยจึงในวันหนึ่งเขาทั้งสองได้พากันเข้าป่าเก็บผัก
หักฟืนมาขายได้ทรัพย์แล้วได้นำไปจ่ายเป็นค่าหม้อข้าว 1 ใบ หม้อแกง 1 ใบ อ้อย 4 ลำ
กล้วย 4 ลูก นำมาจัดแจงลงในสำรับเรียบร้อยแล้วนำออกไปยังวัด เพื่อถวายเป็นสลาก
ภัตร  พร้อมอุบาสกอุบาสิกาเหล่าอื่นสามีภรรยาจับสลากถูกพระภิกษุรูปหนึ่งแล้วมีใจยินดี จึงน้อมภัตตาหารของตนเข้าไปถวายเสร็จแล้วได้หลั่งน้ำทักษิโณทกให้ตกลงเหนือแผ่น
ปฐพีีแล้วตั้งความปราถนา "ด้วยผลทานทั้งนี้ข้าพเจ้าเกิดในปรภพใดๆ ขึ้นชื่อว่า
ความยากจนเข็นใจไร้ทรัพย์เหมือนดังในชาตินี้ โปรดอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าทั้งสองเลย ขอให้ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติและมีฤทธิ์เดชมาก
ในปรภพภายภาคหน้าโน้นเถิด" ดังนี้ ครั้นสองสามีภรรยานั้นอยู่พอสมควรแก่อายุขัยแล้ว
ก็ดับชีพวายชนม์ไปตามสภาพของสังขาร ด้วยอานิสงฆ์แห่งสลากภัตตทานจึงได้ไป
เกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดาในดาวดึงส์สวรรค์ เสวยสมบัติทิพย์อยู่ในวิมานทองอันผุดผ่อง
โสภาตระการยิ่งนัก พร้อมพรั่งไปด้วยแสนสุรางค์นางเทพอัปสรห้อมล้อมเป็นบริวาร
มีนามบรรหารว่า "สลากภัตตเทพบุตรเทพธิดา"กาล กตวา ครั้นจุติเลื่อนจากสวรรค์แล้วก็
ได้ลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ในเมืองพาราณสี มีพระนามว่าพระเจ้าสัทธาดิสเสวยราชสมบัติ
อยู่ 84,000 ปี ครั้นเบื่อหน่ายจึงเสด็จออกบรรพชา ครั้นสูญสิ้นชีวาลงแล้วก็ได้ไปเกิด
ในพรหมโลก และต่อมาก็ได้มาอุบัติเป็นพระตถาคตของเรานั่นเองนี่คืออานิสงฆ์ ์แห่งการถวายสลากภัตร นับว่ายิ่งใหญ่ไพศาลยิ่งนัก สามารถอำนวยสุขสวัสดิ์แก่ผู้บำเพ็ญ
ทั้งชาติมนุษย์และสวรรค์ ในที่สุดถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้

คำถวายสลากภัตร 
เอตานิมะนังภันเต สะจากะภัตตานิ สะปะริวารานิ อะสุภัฏฐานน ฐะปิตานิ ภิกขุสังฆัสสะ
โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเตอภิกขุสังโฆ เอตานิ สะลากะภัตตานิ สะปะริวารานิ
ปะฏิคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ

คำแปล
ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ ภัตตาหารกับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งตั้งไว้ ณ ที่โน้น
ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับซึ่งภัตตาหารพร้อมทั้งของที่เป็นบริวารเหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลาย
เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ.



ห่อข้าวน้อย

บุญข้าวสากปีนี้ซึ่งตรงกับวันจันทร์ ที่ 8 เดือน กันยายน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 และโรงเรียนของดิฉันก็ได้ทำการหยุดเรียนเพื่อให้นักศึกษาวิชาทหารได้ทำการฝึก จึงทำให้ดิฉันไม่ได้ไปโรงเรียน พอตื้นเช้าขึ้นมาดิฉันจึงแต่งตัวอาบน้ำอาบท่ามาทำบุญที่วัดบ้านโคกสูงกับยาย





วันนี้ดิฉันรู้มีความสุขมากๆ ขอให้สิ่งที่ข้าพเจ้านำมาในวันนี้ส่งญาติ มิตรสหายและเจ้ากรรมนายเวรทุกท่านด้วเทอญ


โครงการส่งเสริมสุขภาพภูมิค้มกันต้านภัยอ้วน 
ค่าย "ทับสิบ"


โครงการส่งเสริมสุขภาพภูมิค้มกันต้านภัยอ้วน เป็นโครงการเกี่ยวรายวิชาสุขศึกษาและพละศึกษาเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีนิสัยในการรัปทานอาหารที่มีประโยชน์แก่ตนเอง ห่างจากไขมันส่วนเกินและโรคอ้นที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน






ท่านประธาน






กล่าวรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ







น้องๆ ม.4,5 และ พี่ๆ ม.6 กำลังตั้งใจฟังการบรรยาย














ท่าบริหารลดหน้าท้องหลังรับประทานอารเสร็จ












ผูกสันพันธ์พี่น้อง ม.4,5,6 ห้อง 10











กิจกรรมนันทนาการ



















เก็บตกพี่ๆ ม.6/10









วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557




ตะโก้





เนื่องจากห้องของดิฉัน ม.6/10 ได้เรียนวิชาการงานเกี่ยวการทำขนมไทย ซึ่งพวกเราก็ได้ทำขนม"ตะโก้" ดิฉันจึงนำเอา วิธีการทำและส่วนประกอบต่างๆมาให้ผู้ที่ต้องการทำ"ตะโก้"รับประทานเอง เป็นของขวัญในโอกาสต่างๆหรือประกอบอาชีพ




ตะโก้ เป็นขนมที่มีส่วนผสม คือแป้งกะทิและน้ำตาลทรายเป็นหลัก ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ตัวขนมเป็นแป้งและน้ำตาล และส่วนหน้าขนมเป็นกะทิ แป้งและเกลือส่วนผสมของตัวขนมสามารถผสมวัตถุดิบ อื่นเพื่อให้เกิดรสชาติที่หลากหลาย เช่น แห้วข้าวโพด เผือกหรือจะเพิ่มสีเขียวของใบเตย และมีชื่อเรียกตาม วัตถุดิบที่ผสมลงไป เช่น ตะโก้แห้ว ตะโก้เผือก เป็นต้น




วิธีทำกระทงใบเตย
วัสดุอุปกรณ์
1. ใบเตย
2. ด้ายสีเขียวหรือแม็กเย็บ
3. เข็มมือเบอร์ 9
4. กรรไกร

วิธีทำ

1. เลือกใบเตยใบสวย ๆ ตัดปลายออกแล้วแบ่งเป็นช่อง ๆ ละ 1 นิ้ว 5 ช่อง แล้วขลิบตามเส้นประให้ถึงกลางเส้นใบ ทุกช่อง
2. พับทบช่องขวาหักมุมให้ลิ้นที่ 2 ทับลิ้นที่ 1
3. หักมุมต่อไปให้ลิ้นที่ 3 ทับลิ้นที่ 2 และลิ้นที่ 4 ทับลิ้นที่ 3 สุดท้ายให้ลิ้นที่ 1 ทับลิ้นที่ 4
4. ส่วนลิ้นที่ 5 จับขัดเข้ามาอยู่ด้านในกระทง แล้วเย็บตรึงตอกจัน 2 ดอก ทั้งมุมบนและมุมล่าง


ปริมาณที่ได้
จำนวน 1 ถาดขนาด 12 x 12 นิ้ว

ส่วนประกอบและเครื่องปรุงตะโก้ข้าวโพด
1. น้ำลอยดอกมะลิ  5 ถ้วย
2. แป้งข้าวเจ้า  1 ถ้วย
3. แป้งมัน 1/2 ถ้วย
4. แป้งถั่วเขียว 1/3 ถ้วย
5. ข้าวโพดต้มสุก ฝานลึกๆ  2 1/2 ขีด (หากไม่มีสามารถใช้แห้ว หรือเผือกแทนได้นะคะ)
6. น้ำตาลทราย 3 1/2 ถ้วย
7. น้ำใบเตยเข้มๆ 1/3 ถ้วย
ส่วนประกอบและเครื่องปรุงหน้าตะโก้ข้าวโพด
1. กะทิ (ข้นๆหน่อย แต่ไม่ถึงกับเป็นหัวกะทิ) 5 ถ้วย
2. แป้งข้าวเจ้า 1 1/3 ถ้วย
3. เกลือป่น 1 1/2 ชต.
ขั้นตอนและวิธีทําตะโก้ข้าวโพด
1. เริ่มต้นผสมแป้ง 3 ชนิด (แป้งข้าวเจ้า , แป้งมัน และแป้งถั่วเขียว) เข้าด้วยกันในกระทะทองหรือหม้อนะคะ แล้วก็ค่อยๆรินน้ำใส่ลงไปในแป้ง 1 ถ้วยก่อนค่ะ คนให้เข้ากันจนแป้งละลาย ไม่จับเป็นก้อน
2. เติมน้ำที่เหลือทั้งหมดลงไป คนให้เข้ากันแล้วก็ตามด้วยน้ำตาลทรายทั้งหมดเทใส่ลงไปเลยค่ะ และคนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย
3. จากนั้นเติมน้ำใบเตยคั้นเข้มข้นลงไปค่ะ แล้วก็คนให้เข้ากัน
4. นำขึ้นตั้งไฟกลาง ระหว่างรอเดือดกวนไปเรื่อยๆเป็นระยะค่ะ ประมาณ 30 นาที แป้งก็จะสุกใส และสีเขียวสวยขึ้น (ห้ามปล่อยไว้เฉยๆรอเดือด โดยไม่กวนเป็นระยะๆเด็ดขาด เพราะไม่งั้นแป้งมันจะสุกเป็นก้อนใสๆค่ะ)
5. เทข้าวโพดที่ต้มสุก และฝานเป็นเม็ดๆลงไปเลยค่ะ คนให้พอเข้ากัน แล้วก็จัดการลดไฟลงให้เหลืออ่อนที่สุด เพื่อเตรียมตัวที่จะหยอดตัวตะโก้ลงกระทงค่ะ
ข้อแนะนำ : เหตุผลที่เราตั้งกระทะที่มีตัวตะโก้อยู่บนเตาไฟที่เปิดไฟอ่อนมากๆ เพราะว่าหากอุณหภูมิกระทะเย็นลงจะส่งผลทำให้ตัวตะโก้แข็งตัวไวขึ้น ทำให้หยอดยากขึ้น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเปิดไฟอังกระทะไว้ให้ร้อนหน่อย ตัวตะโก้จะได้ไม่แข็งตัวค่ะ
6. ตักตัวตะโก้หยอดลงกระทงใบเตย หรือภาชนะที่เตรียมไว้เลยค่ะ หยอดให้ได้ประมาณ 1/2 ของกระทงใบเตย (ระหว่างหยอด อย่าลืมกวนเป็นระยะๆ เพื่อกันก้นกระทะไหม้นะคะ) พักไว้ก่อนนะคะ หันมาทำหน้าตะโก้กันค่ะ
7. เริ่มทำหน้าตะโก้นำแป้งข้าวเจ้าใส่ลงในกระทะทองหรือหม้อแล้วก็เทน้ำกะทิใส่ลงไป 1 ถ้วยค่ะ จากนั้นคนให้แป้งละลาย ไม่เป็นเม็ด
8. ใส่เกลือ และเติมน้ำกะทิที่เหลือลงไป คนให้เข้ากันจนเกลือละลาย แล้วก็นำขึ้นตั้งไฟกลางค่ะ จากนั้นก็กวนไปเรื่อยๆ จนแป้งสุก และส่วนผสมจะเริ่มข้นได้ที่ (ห้ามใช้ไฟแรงหน้ากะทิจะแตกมันค่ะ)9. พอกวนได้ที่แล้วให้ลดไฟลงเหลือไฟอ่อนสุด จากนั้นหยอดหน้าตะโก้ได้เลยค่ะ โดยเวลาหยอดหยอดให้พอดีกับของกระทงหรือนูนเหนือขอบกระทงขึ้นมาหน่อยก็ได้นะคะ (ระหว่างหยอด อย่าลืมกวนเป็นระยะๆ เพื่อกันก้นกระทะไหม้นะคะ) เมื่อหยอดเสร็จก็พร้อมเสิร์ฟรับประทานกันแล้วค่ะ หรือทิ้งไว้ให้หน้าตะโก้แข็งได้ที่สักเล็กน้อยก็อร่อยได้ทั้งครอบครัวแล้วค่ะ





                              








 






 ที่มาของเนื้อหา...http://www.isaansmile.com/kahnomthai/14.php
                             http://www.mythaimenu.com/


 ที่มารูปภาพ...นักเรียนชั้นม.6/10 โรงเรียนอำนาจเจริญ



Subscribe to RSS Feed Follow me on Twitter!